น้ำตาล จัดเป็นคาร์โบไฮเดรตประเภทหนึ่งที่แม้ช่วยให้พลังงานแก่ร่างกาย แต่หากบริโภคในปริมาณมากเกินไปก็อาจก่อให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ตั้งแต่หัวจรดเท้า คนทุกเพศทุกวัยจึงควรลดการบริโภคอาหารและเครื่องดื่มที่มีน้ำตาลสูง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเอง

หากเราลดการรับประทานน้ำตาลลง สิ่งที่จะเกิดขึ้นกับเราคือ…

1.ช่วยชะลอผิวหนังเหี่ยวย่นก่อนวัยอันควร

เพราะน้ำตาลที่สูงจะไปจับกับคอลลาเจนทำให้ผิวหนังของเราขาดความยืดหยุ่น ทำให้เกินรอยเหี่ยวย่นได้ง่ายขึ้น

2.ช่วยลดอาการหิวง่าย

เพราะว่าปริมาณระดับอินซูลินจะค่อยๆ ถูกปล่อยออกมาเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ทำให้ระดับน้ำตาลสามารถคงอยู่ได้ยาวนานยิ่งขึ้นจนถึงมื้อถัดไป โดยไม่ต้องรับประทานอาหารว่างระหว่างมื้อ สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน เมื่อเราลดการรับประทานน้ำตาล จะทำให้เราควบคุมน้ำหนักได้ดียิ่งขึ้น เพราะน้ำตาลจะอยู่ในกลุ่มของเครื่องดื่มและของหวาน ซึ่งเป็นกลุ่มของอาหารที่รับประทานได้ง่าย ทำให้เรารับประทานในปริมาณได้เยอะ ก็จะทำให้เรามีโอกาสรับพลังงานเกิน และน้ำหนักขึ้นได้ ซึ่่งจะช่วยป้องกันการลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน โรคหัวใจและโรคหลอดเลือดได้

3.ช่วยลดไขมันพอกตับได้

เป็นการเปลี่ยนแปลงภายในร่างกายของเรา เมื่อเรารับประทานน้ำตาลลดลงก็จะช่วยลดในเรื่องของการที่ไขมันไปพอกตับได้ เพราะปริมาณน้ำตาลที่มากเกินไปจะเปลี่ยนสภาพเป็นไขมันที่ตับ ก็จะช่วยลดโอกาสในเรื่องของตับอักเสบ ตับแข็งและมะเร็งตับที่จะตามมาได้

น้ำตาลแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ได้แก่

ประเภทแรก เป็นน้ำตาลที่เราพบได้โดยอาหารจากธรรมชาติ ( Natural Sugar ) ได้แก่น้ำตาลในผลไม้ เช่น น้ำตาลฟลุกโทส ที่พบได้ในผลไม้ หรือน้ำตาลแล็กโทสที่อยู่ในน้ำนม เป็นต้นฃ

ประเภทที่สอง น้ำตาลเติม ( Added Sugar ) เป็นน้ำตาลที่เราต้องระมัดระวัง เป็นน้ำตาลที่เราเติมเพิ่มลงไปในเครื่องดื่มและอาหารของเรา เช่น น้ำอัดลม น้ำหวาน เบเกอรี่ อาหารที่มีรสชาติหวาน ซึ่งน้ำตาลเติมไม่ควนรับประทานเกิน 6 ช้อนชาต่อวัน หรือไม่ควรเกิน 25-30 กรัมต่อวัน

สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณมีอาการติดหวานแล้ว

1. ในทุกๆ มื้ออาหารจะต้องมีของหวาน หรือในทุกๆ วันจะต้องมีการรับประทานอาหารที่เป็นของหวานร่วมด้วย
2. หากไม่ได้รับประทานของหวานในวันนั้นๆ จะมีความรู้สึกโหยและหงุดหงิดเมื่อไม่ได้รับประทานของหวาน

เพราะฉะนั้น เราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดปริมาณน้ำตาลลง…

1. เราควรเปลี่ยนของหวานเป็นผลไม้ที่รสชาติไม่หวาน เช่น แอปเปิ้ล สาลี่ สับปะรด หรือฝรั่ง เป็นต้น เพื่อทดแทนในกลุ่มของหวานที่มีปริมาณค่อนข้างมาก
2. ลดปริมาณของหวานอย่างค่อยเป็นค่อยไป เช่น การชงกาแฟโดยใช้น้ำตาล 2 ช้อนชา เราลดลงเหลือ 1 ช้อนชาครึ่ง หรือ 25% ของที่เคยใช้อยู่ หรือลดปริมาณการรับประทานเครื่องดื่มที่เป็นลักษณะสำเร็จรูป จากเดิมที่เคยกิน 1 แก้วลดเหลือ ครึ่งแก้ว โดยทำแบบนี้ไปเป็นระยะเวลาประมาณ 1 สัปดาห์ และค่อยๆ ปรับลดลงเรื่อยๆ ก็จะทำให้ร่างกายของเรารู้สึกคุ้นชินกับการลดปริมาณของหวานลงได้